บีทีเอส กรุ๊ปฯ เตรียมออกหุ้นกู้ 2 ชุด อายุ 2 ปี ดอกเบี้ย 4.30% ต่อปี และอายุ 5 ปี ดอกเบี้ย 4.80% ต่อปี เสนอขายแก่ผู้ลงทุนทั่วไป

กลับ

เผยอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ “ระดับลงทุน” (Investment Grade) ที่ “BBB+” พร้อมแต่งตั้ง 10 สถาบันการเงินชั้นนำเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย คาดเสนอขายกลางเดือนมกราคม 2568

กรุงเทพฯ 13 ธันวาคม 2567 – บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ บีทีเอส กรุ๊ปฯ เตรียมออกหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2568 เป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จำนวน 2 ชุด ประกอบด้วย หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.30% ต่อปี และหุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.80% ต่อปี เสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป โดยคาดว่าจะเสนอขายระหว่างวันที่ 9 - 10 และ 13 มกราคม 2568 โดยทั้งองค์กรและหุ้นกู้ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากทริสเรทติ้งในกลุ่มระดับลงทุน (Investment Grade) ที่ “BBB+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) สะท้อนความแข็งแกร่งของบริษัทฯ ที่มีธุรกิจหลากหลาย มีศักยภาพในการขยายธุรกิจ ภายใต้กลยุทธ์ 3M : MOVE, MIX และ MATCH

นางสาวชวดี รุ่งเรือง ผู้อำนวยการใหญ่สายการเงิน บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ “บีทีเอส กรุ๊ปฯ” เปิดเผยว่า บริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) เพื่อออกและเสนอขายหุ้นกู้ จำนวน 2 ชุด ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป ประกอบด้วย หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.30% ต่อปี และหุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.80% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ โดยคาดว่าจะเสนอขายระหว่างวันที่ 9-10 และ 13 มกราคม 2568 ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 10 แห่ง ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ประกอบด้วย ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

สำหรับหุ้นกู้ดังกล่าว ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในกลุ่มระดับลงทุน (Investment Grade) ที่ “BBB+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2567 สะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจและการเงินที่แข็งแกร่งจากการมีรายได้ค่าบริการที่สม่ำเสมอจากการให้บริการเดินรถไฟฟ้าและซ่อมบำรุง (Operation and Maintenance-O&M) ตามสัญญา ตลอดจนกระแสเงินสดรับจำนวนมากจากการลงทุนในสัดส่วน 33.33% ในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางรางบีทีเอสโกรท (BTSGIF) และการมีสถานะที่มั่นคงในธุรกิจโฆษณา

บีทีเอส กรุ๊ปฯ เป็นกลุ่มบริษัทที่ประกอบธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยมุ่งเน้นการใช้ประโยชน์จากการเข้าถึงข้อมูลเครือข่ายระบบขนส่งมวลชนและสื่อโฆษณา รวมทั้งการร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับบริษัทต่างๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจ ผ่านการดำเนินธุรกิจใน 3 แพลตฟอร์ม ได้แก่ 1) แพลตฟอร์ม MOVE ผู้ให้บริการการเดินทางด้วยรูปแบบการคมนาคมขนส่งที่หลากหลายอย่างไร้รอยต่อ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต 2) แพลตฟอร์ม MIX ผู้ให้บริการทางการตลาดในรูปแบบ Offline-to-Online โซลูชันส์ที่ครบวงจร รวมถึงการใช้ประโยชน์สูงสุดจากฐานข้อมูลแก่กลุ่มบริษัทและพันธมิตรทางธุรกิจ 3) แพลตฟอร์ม MATCH สร้างโอกาสและความร่วมมือทางธุรกิจใหม่ๆ ผ่านการแบ่งปันแพลตฟอร์ม MOVE และ MIX ให้แก่กลุ่มบริษัทและพันธมิตรทางธุรกิจ

ล่าสุด บีทีเอส กรุ๊ปฯ ประกาศปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ โดยเมื่อช่วงปลายเดือนตุลาคม 2567 บริษัทฯ สามารถระดมทุนผ่านการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน (Right Offering: RO) จำนวน 13.2 พันล้านบาท ได้สำเร็จ และได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเกินจำนวนที่เสนอขาย (oversubscribed) แสดงถึงความเชื่อมั่นและการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากนักลงทุน ทั้งนี้ ได้มีการจัดสรรเงินที่ระดมทุนได้จำนวน 13.2 พันล้านบาท ในการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน RABBIT และ ROCTEC ผ่านการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์โดยสมัครใจ (Voluntary Tender Offer: VTO) จำนวน 7.1 พันล้านบาท ทำให้ทั้งสองบริษัทดังกล่าว กลายเป็นบริษัทย่อยของ บีทีเอส กรุ๊ปฯ โดยมีผลตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป ซึ่งการปรับโครงสร้างการถือหุ้นในครั้งนี้จะเป็นการสนับสนุนและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้บริษัท และคาดว่าจะนํามาซึ่งโอกาสทางธุรกิจของบีทีเอส กรุ๊ป และบริษัทย่อยในอนาคต

ในส่วนของฐานะทางการเงิน บีทีเอส กรุ๊ปฯ มีเงินสดสุทธิจากกิจกรรมการดำเนินงานในระดับที่แข็งแกร่งขึ้น บริษัทฯ รายงานกระแสเงินสดสุทธิจากกิจกรรมการดำเนินงาน จำนวน 22.8 พันล้านบาท (ข้อมูลสําหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567) หลักๆ จากการได้รับชำระหนี้ E&M จาก กทม. รวมถึงยังได้รับเงินสนับสนุนงวดที่ 2 สำหรับการดำเนินงานรถไฟฟ้าสายสีเหลือง นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังคาดว่าจะได้รับชำระหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) ของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 1 และ 2 (คดีฟ้องร้องครั้งที่ 1) จาก กทม.และบริษัท กรุงเทพธนาคม จํากัด (เคที) จำนวนประมาณ 14.5 พันล้านบาท ภายใน 180 วัน นับจากวันที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษา ซึ่งจะครบกำหนดภายในวันที่ 22 มกราคม 2568 การชำระหนี้ดังกล่าว พร้อมกับเงินที่เหลือจากการเพิ่มทุน (RO) จะช่วยเสริมฐานะทางการเงินของบริษัทฯ รวมถึงอัตราส่วนโครงสร้างทางการเงิน (Leverage ratio) จะปรับตัวดีขึ้นต่อไป

“เรามั่นใจว่า หุ้นกู้ บีทีเอส กรุ๊ปฯ จะได้รับการตอบรับอย่างดีอีกครั้งจากผู้ลงทุน ด้วยอายุของหุ้นกู้ทั้งรุ่นอายุ 2 ปีและอายุ 5 ปี ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนทั่วไป พร้อมทั้งอัตราผลตอบแทนที่น่าสนใจในช่วงอัตราดอกเบี้ยขาลง ภายใต้อันดับความน่าเชื่อถือในกลุ่มระดับลงทุน (Investment grade) บริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะนำเงินจากการออกหุ้นกู้ครั้งนี้ไปชำระคืนหนี้เดิมของบริษัทฯ เพื่อปรับโครงสร้างทางการเงินให้แข็งแกร่งขึ้น นอกจากนี้ หลังจากบริษัทฯ ได้รับชำระหนี้เพิ่มเติมจาก กทม. จะยิ่งเป็นการสนับสนุนความแข็งแกร่งของฐานะทางการเงินของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นอีก สอดคล้องกับแนวทางการปรับลดระดับหนี้ของบริษัทฯ” ผู้อำนวยการใหญ่สายการเงิน บีทีเอส กรุ๊ปฯ กล่าว

ทั้งนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่งยังไม่มีผลใช้บังคับ สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้บีทีเอส กรุ๊ปฯ สามารถจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท และศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sec.or.th หรือติดต่อผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ดังต่อไปนี้

ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้งรุ่นอายุ 2 ปี และอายุ 5 ปี

  • ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (ยกเว้นสาขาไมโคร) โทร. 1333 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ Bangkok Bank Mobile Banking สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา
  • ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 0-2111-1111 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ Krungthai NEXT สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา
  • ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)* โทร. 02-888-8888 กด 869 หรือจองซื้อผ่านเว็บไซต์ K-My Invest (https://www.kasikornbank.com/kmyinvest) สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดาสัญชาติไทย (ซึ่งรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย)
  • ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) โทร. 02-777-6784 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ SCB EASY สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดาสัญชาติไทย (ซึ่งรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์)

ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้เฉพาะรุ่นอายุ 2 ปี

  • ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-626-7777 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ CIMB Thai สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา
  • บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)*** โทร. 02-165-5555 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ Dime! สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา (ซึ่งรวมถึงธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร)
  • บริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-658-5050
  • บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด โทร. 02-0098351-56
  • บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02-680-4004
  • บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร 02-658-8888