บีทีเอสกรุ๊ปฯ แถลงข่าวผลประกอบการไตรมาส 2และแนวทางการระดมทุนจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน

กลับ

นายคีรี กาญจนพาสน์ (3ซ้าย) ประธานกรรมการ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ได้เป็นประธานในการแถลงข่าว ต่อสื่อมวลชนซึ่งจัดขึ้นที่ห้อง Luce โรงแรม อีสติน แกรนด์ สาทร กรุงเทพ เมื่อวันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2555 โดยมีผู้บริหารร่วมด้วย จากซ้าย นายคง ชิ เคือง กรรมการบริหารบีทีเอส กรุ๊ปฯ นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการ และผู้อำนวยการใหญ่สายปฎิบัติการ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (บีทีเอสซี) และนายกวิน กาญจนพาสน์ กรรมการ บริหาร บีทีเอส กรุ๊ปฯ

โดยได้แถลงว่า บีทีเอส กรุ๊ปฯ มีผลการดำเนินงานในไตรมาส สองดีเป็นประวัติการณ์ พร้อมกันนี้ ยังได้อนุมัติแนวทางการระดมทุนโดยการจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานซึ่งจะลงทุนในรายได้ค่าโดยสารสุทธิในอนาคตที่จะได้รับจากการดำเนินงานระบบรถไฟฟ้าสายสีเขียวหลักเป็นระยะทาง 23.5 กิโลเมตร ซึ่งดำเนินการโดยบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (บีทีเอสซี) ทั้งนี้ กองทุนจะเสนอขายหน่วยลงทุนต่อประชาชนทั่วไป ภายหลังการอนุมัติของผู้ถือหุ้นและกลต. การดำเนินการดังกล่าวสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการลงทุนพัฒนาและขยายเครือข่ายระบบขนส่งมวลชนต่างๆ ในกรุงเทพฯ และพื้นที่ใกล้เคียง รวมทั้งนโยบายของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลาดหลักทรัพย์) และคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ในการสนับสนุนการจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน

ในไตรมาสสองของปี 2555/2556 บีทีเอส กรุ๊ปฯ มี operating EBITDA เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.1 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ตามจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น และรายได้ค่าสื่อโฆษณาที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ จำนวนผู้โดยสารในไตรมาสสองของปี 2555/2556 มีจำนวนทั้งสิ้น 49.4 ล้านเที่ยวคน ซึ่ง (สูงสุดเป็นประวัติการณ์) เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.4 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากความนิยมในการใช้บริการรถไฟฟ้าในการเดินทางในกรุงเทพมหานครที่เพิ่มมากขึ้น

คณะกรรมการของบีทีเอส กรุ๊ปฯ และบีทีเอสซี อนุมัติแนวทางการระดมทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานซึ่งจะลงทุนในรายได้ค่าโดยสารสุทธิที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินงานรถไฟฟ้าสายสีเขียวหลักในช่วงระยะเวลาที่ได้รับสัมปทาน (ถึงวันที่ 4 ธันวาคม 2572) เป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 50,000 ล้านบาท โดยรายได้ค่าโดยสารสุทธิที่กองทุนจะลงทุน จะประกอบด้วยรายได้ค่าโดยสารหักต้นทุนการดำเนินงาน และค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ กองทุนจะจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และบีทีเอสจีมีความตั้งใจที่จะจองซื้อหน่วยลงทุนจำนวนหนึ่งในสามของจำนวนหน่วยลงทุนทั้งหมดของกองทุน ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดที่ข้อกำหนดของ กลต. อนุญาตให้ถือได้ตามแผนแม่บทของรัฐบาลที่จะลงทุนขยายระบบการขนส่งมวลชนทางรางเพิ่มเติมอีกกว่า 10 เส้นทางเป็นระยะทางรวมประมาณ 500 กิโลเมตร ในกรุงเทพฯและพื้นที่ใกล้เคียงภายในปี 2572 นั้น บีทีเอส กรุ๊ปฯ มีความประสงค์ที่จะลงทุนในเส้นทางต่างๆ ซึ่งรวมถึงส่วนต่อขยายสายสีเขียวจากหมอชิตไปสะพานใหม่ และจากแบริ่งไปสมุทรปราการ สายสีชมพูจากแครายไปมีนบุรี และรถไฟฟ้าขนาดเบา (Light Rail Transit) จากบางนาไปท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ทั้งนี้ จะให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกกับเส้นทางที่เชื่อมต่อโดยตรงกับรถไฟฟ้าสายสีเขียวหลักซึ่งจะทำให้การเดินทางโดยรถไฟฟ้าสายสีเขียวเป็นเครือข่ายที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ทั้งนี้ เงินที่ได้รับจากการระดมทุนในครั้งนี้ หลังหักเงินที่บีทีเอส กรุ๊ปฯ จะใช้ในการจองซื้อหน่วยลงทุนแล้ว จะใช้เพื่อวัตถุประสงค์หลักในการลงทุนโครงการใหม่ๆ ดังกล่าว

นายคีรี กล่าวว่า “ธุรกิจขนส่งมวลชนจะยังคงเป็นธุรกิจหลักของบริษัท และบีทีเอส กรุ๊ปฯ ยังคงมีความมุ่งมั่นที่จะลงทุนเพื่อพัฒนาระบบขนส่งมวลชนและระบบโครงสร้างพื้นฐานในกรุงเทพฯต่อไป บริษัทฯเห็นว่า การลงทุนดังกล่าวเป็นปัจจัยที่สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศไทย และเชื่อมั่นว่าธุรกรรมนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นเนื่องจากบริษัทฯ จะได้รับเงินสดจากการระดมทุน ทำให้มีความพร้อมที่จะลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานใหม่ๆ เพื่อสร้างเสริมรายได้ภายหลังจากสิ้นสุดสัมปทาน รวมทั้งมูลค่าในระยะยาวให้แก่ผู้ถือหุ้น ทั้งนี้ บีทีเอส กรุ๊ปฯ มีข้อได้เปรียบจากประสบการณ์อันยาวนาน และความสามารถความชำนาญในการบริหารระบบรถไฟฟ้าลอยฟ้า และการมีระบบซึ่งเชื่อมต่อกับส่วนขยายใหม่หลายๆ สาย ดังนั้น การที่มีความพร้อมทางด้านการเงินจะช่วยให้สามารถลงทุนได้รวดเร็วยิ่งขึ้นหากได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลให้เข้าไปลงทุน และมีส่วนช่วยในการผลักดันให้การพัฒนาส่วนต่อขยายและเส้นทางใหม่ภายใต้แผนแม่บทของรัฐบาลให้เป็นไปอย่างรวดเร็ว”

“การจัดตั้งกองทุนจะทำให้นักลงทุนมีทางเลือกในการลงทุนในตราสารใหม่ๆ ซึ่งจะให้ผลตอบแทนที่มั่นคงจากรายได้ของรถไฟฟ้าสายสีเขียวหลัก และยังมีศักยภาพที่จะเติบโตต่อไปจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้โดยสารอันเป็นผลจากการขยายตัวของโครงข่ายระบบขนส่งมวลชน นอกจากโอกาสในการรับเงินปันผลแล้ว ผู้ถือหน่วย (ซึ่งรวมถึงบีทีเอส กรุ๊ป ฯ) ยังจะมีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาโครงข่ายระบบขนส่งมวลชนผ่านการลงทุนในกองทุน ซึ่งจัดหาทุนและทำให้บีทีเอส กรุ๊ปฯ มีเงินทุนพร้อมสำหรับใช้ในการลงทุนต่อไปในอนาคต นอกจากนี้กองทุนมีสิทธิ เป็นรายแรกในการเข้าลงทุนในโครงการในกรุงเทพฯและปริมณฑลที่พัฒนาโดยกลุ่มบริษัทอันจะทำให้ประชาชนได้มีโอกาสเดินทางในเขตกรุงเทพฯและพื้นที่ใกล้เคียงด้วยวิธีการที่สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น” นอกจากนี้นายคีรียังกล่าวว่า “หากมีเงินและสภาพคล่องเกินกว่าเงินลงทุนในกองทุนและโครงการใหม่ๆ เหล่านี้ บริษัทอาจเสนอให้คณะกรรมการหรือผู้ถือหุ้นพิจารณาการจ่ายเงินปันผลพิเศษแก่ผู้ถือหุ้น อย่างไรก็ตามการจ่ายเงินปันผลพิเศษจะขึ้นอยู่กับความต้องการใช้เงินของกลุ่ม และข้อพิจารณาทางกฎหมายอื่นๆ”

ทั้งนี้ การระดมทุนโดยการจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานในครั้งนี้จะต้องได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้นของ บีทีเอส กรุ๊ปฯ และได้รับอนุมัติจาก กลต. ให้จัดตั้งกองทุนรวมก่อน โดยการประชุมผู้ถือหุ้นจะมีขึ้นในวันที่ 18 ธันวาคม 2555