ธนายง ประกาศแผนการเข้าซื้อกิจการ บมจ. ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (บีทีเอส)

กลับ

กรุงเทพฯ (23 มีนาคม 2553) – บริษัท ธนายง จำกัด (มหาชน) (“บริษัท”) ประกาศแผนการเข้าซื้อกิจการของ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (บีทีเอส หรือ BTSC) โดยจะเข้าเจรจา และตกลงทำสัญญาเพื่อซื้อหุ้นสามัญของบีทีเอส จากผู้ถือหุ้นบีทีเอสในปัจจุบัน เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงเพิ่มความน่าสนใจในหุ้นของบริษัท จากมูลค่าหลักทรัพย์ (Market Capitalization) และสภาพคล่องของหุ้นที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงผลการดำเนินธุรกิจการให้บริการรถไฟฟ้าของบีทีเอสซึ่งมีความมั่นคงและมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการบริษัท ธนายง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้มีมติเห็นชอบในแผนการเข้าซื้อกิจการของบีทีเอส โดยภายใต้แผนดังกล่าว บริษัทจะเข้าเจรจาและตกลงทำสัญญาเพื่อซื้อหุ้นสามัญของบีทีเอสจาก Siam Capital Developments (Hong Kong) Limited, Keen Leader Investments Limited, และนายคีรี กาญจนพาสน์ รวมถึงการซื้อและรับโอนกิจการทั้งหมดจาก บริษัท สยาม เรลล์ ทรานสปอร์ต แอนด์ อินฟราสตรัคเจอร์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นบีทีเอสในปัจจุบัน จำนวนรวมประมาณ 15,022.33 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นจำนวนร้อยละ 94.60 ของหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมดของบีทีเอส คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 40,034.53 ล้านบาท โดยบริษัทจะชำระค่าตอบแทนดังกล่าวเป็นเงินสดจำนวนประมาณ 20,655.71 ล้านบาท (ประมาณร้อยละ 51.59 ของค่าตอบแทน) และออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทอีกประมาณ 28,166.88 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 0.688 บาท คิดเป็นมูลค่า 19,378.81 ล้านบาท (ประมาณร้อยละ 48.41 ของค่าตอบแทน) เพื่อชำระค่าหุ้นแทนการชำระด้วยเงินสด ทั้งนี้ บริษัทจะดำเนินการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน จำนวนรวม 22,000 ล้านบาท เพื่อใช้ชำระค่าหุ้นในส่วนที่เป็นเงินสด และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท

ภายหลังจากการเข้าซื้อหุ้นสามัญของบีทีเอสจำนวนดังกล่าว บริษัทจะออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน มูลค่ารวมประมาณ 12,000 ล้านบาท ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนของหุ้นที่ถือ (Rights Offering) เพื่อนำมาชำระเงินคืนเงินกู้ยืมบางส่วน ในกรณีที่มีหุ้นเหลือจากการเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม บริษัทจะทำการจัดสรรหุ้นที่เหลือโดยเสนอขายแก่นักลงทุนโดยเฉพาะเจาะจง (Private Placement) นอกจากนั้น เพื่อเป็นสิ่งตอบแทนและเป็นการจูงใจในการจองซื้อหุ้น บริษัทจะดำเนินการออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิ (Warrant) โดยไม่คิดมูลค่า ให้แก่ผู้ลงทุนทุกรายที่จองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนดังกล่าว โดยใบสำคัญแสดงสิทธิมีอายุ 3 ปี สามารถเริ่มใช้สิทธิครั้งแรกได้เมื่อครบ 2 ปี นับจากวันที่ออก มีราคาใช้สิทธิที่ 0.70 บาท ต่อหุ้น ทั้งนี้ คาดว่าการซื้อหุ้นและการรับโอนกิจการจากผู้ถือหุ้น บีทีเอสดังกล่าว จะแล้วเสร็จภายในต้นเดือนพฤษภาคม 2553 โดยจะต้องได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานกำกับดูแล ได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัท ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 29 เมษายน 2553 และบริษัทสามารถปฏิบัติได้ครบถ้วนตามเงื่อนไขบังคับก่อนที่ระบุไว้ในสัญญาที่เกี่ยวข้อง

“การเข้าซื้อหุ้นสามัญของบีทีเอสจะทำให้ธนายงจะมีขอบเขตการดำเนินธุรกิจและสินทรัพย์เพิ่มขึ้นอย่างมาก ปัจจุบัน บีทีเอสมีสินทรัพย์รวมประมาณ 55,401.50 ล้านบาท หรือ คิดเป็นประมาณ 7.3 เท่า ของสินทรัพย์ทั้งหมดของ ธนายง การตัดสินใจในการดำเนินการซื้อหุ้นสามัญของบีทีเอสดังกล่าว เป็นไปตามเหตุผลสำคัญเพื่อเสริมสร้าง ความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จากการพัฒนาโครงการต่างๆ ร่วมกัน โดยการใช้ประโยชน์จากที่ดินของบีทีเอส และประสบการณ์ในการพัฒนาและบริหารโครงการของธนายง นอกจากนั้น ยังเป็นการเพิ่มความน่าสนใจในหุ้นของบริษัท จากมูลค่าหลักทรัพย์ (Market Capitalization) และสภาพคล่องของหุ้นที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงผลการดำเนินธุรกิจการให้บริการรถไฟฟ้าของบีทีเอส ซึ่งมีความมั่นคงและมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทเชื่อว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง รวมถึงเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่การดำเนินธุรกิจของบริษัทและผู้ถือหุ้นของบริษัท” นายคีรี กล่าวเสริม

“ผู้บริหารของบริษัทเชื่อว่าธุรกิจการให้บริการรถไฟฟ้าของบีทีเอส เป็นธุรกิจที่ดี มีโอกาสในการเติบโตสูง ตั้งแต่เปิดให้บริการในปี 2542 บีทีเอสมีจำนวนผู้โดยสารและรายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปัจจุบัน บีทีเอสให้บริการ ผู้โดยสารมากกว่า 450,000 คนต่อวันทำงาน และเพื่อรองรับความต้องการใช้รถไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง บีทีเอสมีแผนที่จะเพิ่มจำนวนรถที่ให้บริการอีกประมาณร้อยละ 50 ซึ่งจะทำให้สามารถให้บริการผู้โดยสารได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในชั่วโมงเร่งด่วน สำหรับโครงการส่วนต่อขยายของระบบขนส่งมวลชนของภาครัฐที่กำลังดำเนินการอยู่นั้น บีทีเอสจะเป็นผู้ที่จะได้รับประโยชน์โดยตรงจากการส่งต่อผู้โดยสารเข้ามาในระบบรถไฟฟ้าของบีทีเอส ซึ่งได้รับสัมปทานจาก กทม. นอกจากนั้น บีทีเอสยังมีข้อได้เปรียบในการให้บริการส่วนต่อขยายจากความสามารถในการให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และจะให้ความสะดวกแก่ผู้โดยสารมากกว่า จากการเป็นผู้ให้บริการรายเดียวกัน บริษัทเชื่อว่าธุรกิจการให้บริการรถไฟฟ้าของบีทีเอส จะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจของธนายง และสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงต่อผู้ถือหุ้นของธนายง”

สำหรับการดำเนินธุรกิจด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ร่วมกันของธนายงและบีทีเอส นั้น นายคีรี กล่าวเสริมว่า “ธนายงมีประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์มาเป็นระยะเวลานาน มีความพร้อมทั้งทางด้านบุคลากรและเทคโนโลยีในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ตั้งแต่ขั้นตอนการประเมินโครงการ การวางแผนพัฒนาที่ดิน การบริหารจัดการโครงการ การดำเนินการก่อสร้าง และการดำเนินโครงการภายหลังโครงการแล้วเสร็จ ซึ่งประสบการณ์และความเชี่ยวชาญดังกล่าวนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ของบีทีเอส ซึ่งอยู่ใจกลางกรุงเทพตามแนวทางเดินรถไฟฟ้า”

ภายหลังการเข้าซื้อหุ้นของบีทีเอสเสร็จสิ้น โครงสร้างผู้ถือหุ้นของธนายงจะมีการเปลี่ยนแปลง กล่าวคือ นายคีรี และนายกวิน กาญจนพาสน์ จะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ มีสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 41.46 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของธนายง และมีกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหม่ 2 กลุ่ม ได้แก่ กองทุนที่บริหารโดย Ashmore Investment Management Limited และ กองทุนที่บริหารโดย Farallon Capital Management, L.L.C. ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นในปัจจุบันของบีทีเอส ทั้งนี้ ในอนาคต บริษัทยังมีแผนที่จะซื้อหุ้นสามัญของบีทีเอสจำนวนร้อยละ 5.4 จากผู้ถือหุ้นรายย่อยอื่นๆ ทั้งหมดของบีทีเอส โดยชำระค่าหุ้นด้วยการการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทให้ในราคาไม่ต่ำกว่าหุ้นละ 0.60 บาท