) สรุปข้อสนเทศบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)

กลับ
ย่อยพิจารณากู้ยืมจากสถาบันการเงิน หรืออาจขายหุ้นให้แก่นักลงทุนหรือพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อพัฒนาโครงการให้แล้ว เสร็จสมบูรณ์ ทั้งนี้ BTSC มีนโยบายที่จะถือหุ้นใหญ่ในบริษัทย่อย เพื่อให้โครงการต่างๆ สามารถดำเนินการทางด้าน การตลาดร่วมกับ BTSC ได้อย่างมีประสิทธภาพมากขึ้น ทั้งนี้ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2552 BTSC ได้ลงทุนไปแล้ว เป็น จำนวนเงินทั้งสิ้น 3,213 ล้านบาท และมีกำหนดจะต้องชำระ 1,738 ล้านบาทภายใน 9 กันยายน 2553 11 รายการระหว่างกัน 1. รายการระหว่างกันของบริษัทฯ 1.1 สำหรับงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2552 บริษัทฯ มีรายการธุรกิจที่สำคัญกับบุคคล/นิติบุคคลที่อาจมี ความขัดแย้งดังต่อไปนี้ (1) บุคคลที่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์: บจ. นูโว ไลน์ เอเจนซี่ ลักษณะความสัมพันธ์ : - กลุ่มนายคีรี เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของทั้งบริษัทฯ และ บจ. นูโว ไลน์ เอเจนซี่ กล่าวคือ กลุ่มนายคีรี ถือหุ้นโดยทางตรงร้อยละ 31.31 ของทุนชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ และถือหุ้นโดยทางอ้อมร้อย ละ 80 ของทุนชำระแล้วทั้งหมดของ บจ. นูโว ไลน์ เอเจนซี่ ในขณะเข้าทำรายการ - Pacific Harbor Advisors Pte Ltd. เป็นผู้ถือหุ้นของทั้งบริษัทฯ และ บจ. นูโว ไลน์ เอเจนซี่ โดย ขณะเข้าทำรายการ Pacific Harbor Advisors Pte Ltd. ถือหุ้นโดยทางตรงร้อยละ 12.70 ของทุน ชำ ระแล้ ว ทั้ ง หมดของบริ ษั ท ฯ และถื อ หุ้ น โดยทางตรงร้ อ ยละ 20 ของทุ น ชำ ระแล้ ว ทั้ ง หมดของ บจ. นูโว ไลน์ เอเจนซี่ ลักษณะรายการ: บริษัทฯ เข้าทำสัญญาที่ปรึกษางานบริหารจัดการโครงการ (Project Management Consultancy Services Agreement) กับ บจ. นูโว ไลน์ เอเจนซี่ โดยมีการคิดค่าบริการที่ปรึกษาดังกล่าวเป็น จำนวน 100 ล้านบาท สำหรับการพัฒนาอาคารชุดพหลโยธิน ซึ่งเป็นการนำโครงสร้างเดิมที่มีอยู่แล้วกลับมา พัฒนาใหม่ในส่วนของเฟสที่ 1 โดยบริษัทฯ จะเป็นที่ปรึกษางานบริหารจัดการงานออกแบบและก่อสร้าง งาน บริหารจัดการโครงการเกี่ยวกับการวางแผน และการบริหารจัดการของโครงการเฟสที่ 1 มูลค่ารายการ: สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2552 มีรายการตามบัญชีดังนี้ - เงินทดรองจ่ายจาก บจ. นูโว ไลน์ เอเจนซี่ 1.43 ล้านบาท - รายได้รับล่วงหน้าจาก บจ. นูโว ไลน์ เอเจนซี่ 87.22 ล้านบาท ความจำ เป็ น และสมเหตุ ส มผล : เป็ น รายการธุ ร กรรมปกติ โดยค่ บริ ก รที่ บ ริ ษั ท ฯ จะได้ รั บ จาก บจ. นูโว ไลน์ เอเจนซี่ เป็นไปตามอัตราในท้องตลาด (2) บุคคลที่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์: บจ. บีทีเอส แอสเสทส์ (เดิมชื่อ บจ. ยูนิโฮลดิ้ง) ลักษณะความสัมพันธ์ : - บจ. บีทีเอส แอสเสทส์ เป็นบริษัทย่อยของ BTSC - นายคีรี กาญจนพาสน์ เป็นประธานกรรมการบริหารของ BTSC ลักษณะรายการ: บริษัทฯ เป็นผู้รับจ้างตามสัญญารับเหมาออกแบบและก่อสร้างแบบเบ็ดเสร็จ (Turnkey) มี มูลค่ารวมตามสัญญา 2,200 ล้านบาท มูลค่ารายการ: สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2552 มีรายการตามบัญชี ดังนี้ - ลูกหนี้การค้า 68.58 ล้านบาท - รายได้ที่ยังไม่ได้เรียกชำระ 33.30 ล้านบาท - ลูกหนี้เงินประกันผลงาน 1.96 ล้านบาท - เงินรับล่วงหน้าจากผู้ว่าจ้าง 296.56 ล้านบาท ความจำเป็นและสมเหตุสมผล : เป็นรายการที่เกิดจากการทำธุรกิจร่วมกันตามเงื่อนไขการค้าโดยทั่วไปที่ เข้าทำตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2551 ก่อนที่ BTSC จะเข้าซื้อหุ้นในบจ. บีทีเอส แอสเสทส์ ในเดือนพฤษภาคม 2552 และทำให้ บจ. บีทีเอส แอสเสทส์ มีสถานะเป็นบุคคลที่อาจมีความขัดแย้งกับบริษัทฯ 1.2 รายการระหว่างกันในอดีตซึ่งเกิดขึ้นนานแล้ว โดยยังมียอดหนี้คงค้างอยู่และบริษัทฯ ได้ประเมินแล้วว่าลูกหนี้ ไม่มีความสามารถในการชำระหนี้เต็มจำนวนซึ่งอยู่ระหว่างการติดตามและทวงถามหนี้ ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้สำรอง ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพียงพอต่อจำนวนที่คาดว่าจะเกิดความเสียหายแล้ว 12 (1) บุคคลที่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ : บจ. อีจีวี ลักษณะความสัมพันธ์ : นายคีรีเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในบจ. อีจีวี ลักษณะรายการ: บริษัทฯ ให้เงินกู้ยืม บจ. อีจีวี เมื่อนานมาแล้ว โดย บจ. อีจีวี ได้นำเงินกู้ยืมนี้ไปซื้อหุ้นของ บมจ. ไอทีวี และได้จำนำหุ้นเหล่านี้เป็นหลักประกันหนี้ของบริษัทฯ ต่อมา เจ้าหนี้ของบริษัทฯ ได้ยื่นขอรับ ชำ ระหนี้ ดั ง กล่ วนี้ ต มแผนฟื้ น ฟู กิ จ การของบริ ษั ท ฯ และขณะนี้ อ ยู่ ร หว่ งรอคำ สั่ ง อั น เป็ น ที่ สุ ด ของศาล ล้มละลายกลาง มูลค่ารายการ: มีหนี้คงค้างก่อนหักค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2552 เป็นจำนวน 10.87 ล้านบาท คงเหลือมูลค่าตามบัญชี 0 บาท (2) บุคคลที่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์: บจ. สระบุรี พร็อพเพอร์ตี้ ลักษณะความสัมพันธ์ : - บจ. สระบุรี พร็อพเพอร์ตี้ เป็นบริษัทร่วมของบริษัทฯ - นายคีรีเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ใน บจ. สระบุรี พร็อพเพอร์ตี้ ลักษณะรายการ: บริษัทฯ ให้เงินกู้ยืม บจ. สระบุรี พร็อพเพอร์ตี้ เมื่อนานมาแล้ว โดยคิดอัตราดอกเบี้ยตาม ต้นทุน บจ. สระบุรี พร็อพเพอร์ตี้ ได้นำเงินกู้ดังกล่าวไปซื้อที่ดินและนำที่ดินดังกล่าวมาจำนองประกันหนี้ของ บริษัทฯ โดยต่อมาที่ดินดังกล่าวได้ถูกโอนใช้หนี้ให้แก่เจ้าหนี้ของบริษัทฯ ทั้งก่อนการฟื้นฟูกิจการและตาม แผนฟื้นฟูกิจการของบริษัทฯ มูลค่ารายการ: มีหนี้คงค้างก่อนหักค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2552 เป็นจำนวน 498.65 ล้านบาท คงเหลือมูลค่าตามบัญชี 4.57 ล้านบาท (3) บุคคลที่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์: บจ. วาเคไทย (ไทยแลนด์) ลักษณะความสัมพันธ์ : - เดิม บจ. วาเคไทย (ไทยแลนด์) เป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ - ญาติสนิทของนายคีรีเป็นกรรมการใน บจ. วาเคไทย (ไทยแลนด์) ลักษณะรายการ: บจ. เมืองทอง แอสเซ็ทส์ และ บจ. ปราณคีรี แอสเซ็ทส์ (เดิมชื่อ บจ. เมืองทองเลคไซด์ เรสเตอร์รอง) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ ได้ให้กู้ยืมเงินแก่ บจ. วาเคไทย (ไทยแลนด์) เมื่อนานมาแล้ว มูลค่ารายการ: มีหนี้คงค้างก่อนหักค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2552 เป็นจำนวน 14.55 ล้านบาท และ 38.69 ล้านบาท ตามลำดับ คงเหลือมูลค่าตามบัญชี 0 บาท (4) บุคคลที่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์: บมจ. บางกอกแลนด์ ลักษณะความสัมพันธ์ : ญาติสนิทของนายคีรีเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ใน บมจ. บางกอกแลนด์ ลักษณะรายการ: บจ. เมืองทอง แอสเซ็ทส์ ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ ได้จ่ายเงินทดรองแก่ บมจ. บางกอกแลนด์ เมื่อนานมาแล้ว มูลค่ารายการ: มีหนี้คงค้างก่อนหักค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2552 เป็นจำนวน 1.05 ล้านบาท คงเหลือมูลค่าตามบัญชี 0 บาท 1.3 รายการระหว่างกันในอดีตซึ่งเกิดขึ้นนานแล้วโดยบริษัทย่อยเป็นลูกหนี้และยังมียอดหนี้คงค้างอยู่ (1) บุคคลที่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์: นายคีรี กาญจนพาสน์ ลักษณะความสัมพันธ์ : นายคีรี กาญจนพาสน์เป็นประธานกรรมการและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ ลักษณะรายการ: นายคีรีได้ให้บริษัทย่อยหลายบริษัทกู้ยืมเงินโดยไม่คิดดอกเบี้ย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของ บริษัทย่อยในช่วงระหว่างการฟื้นฟูกิจการของบริษัทฯ ในปี 2544 - 2548 มูลค่ารายการ: มีหนี้คงค้างสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2552 เป็นจำนวนรวมกัน 0.5 ล้านบาท (2) บุคคลที่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์: บจ. ช้างคลานเวย์ ลักษณะความสัมพันธ์ : - บริษัทฯ ถือหุ้นใน บจ. ช้างคลานเวย์ร้อยละ 15.15 13 - ญาติสนิทของนายคีรี เป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ บจ. ช้างคลานเวย์ ลักษณะรายการ: - บจ. เมืองทอง แอสเซ็ทส์ ค้างจ่ายเงินค่าบริหารโรงแรมกับ บจ. ช้างคลานเวย์ - บจ. ปราณคี รี แอสเซ็ ท ส์ (เดิ ม ชื่ อ เมื อ งทองเลคไซด์ เรสเตอร์ ร อง) เป็ น ลู ก หนี้ เ งิ น ทดรองจ่ ย บจ. ช้างคลานเวย์ มูลค่ารายการ: - บจ. เมื อ งทอง แอสเซ็ ท ส์ ค้ งจ่า ยเงิ น ค่ บริ ห รโรงแรมกั บ บจ. ช้ งคลานเวย์ โดยมี ห นี้ ค งค้ ง สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2552 เป็นจำนวน 2.25 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายการที่เกิดขึ้นนานมาแล้ว - บจ. ปราณคี รี แอสเซ็ ท ส์ (เดิ ม ชื่ อ เมื อ งทองเลคไซด์ เรสเตอร์ ร อง) เป็ น ลู ก หนี้ เ งิ น ทดรองจ่ ย บจ. ช้างคลานเวย์ จำนวน 0.48 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายการที่เกิดขึ้นนานมาแล้ว 2. รายการระหว่างกันของ BTSC (1) บุคคลที่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์: บจ. มาฆะเทรดดิ้ง ลักษณะความสัมพันธ์ : นายคีรี เป็นผู้ถือหุ้นของบจ. มาฆะเทรดดิ้ง ลักษณะรายการ: - การชำระหนี้เงินกู้ในส่วนดอกเบี้ยของบจ. นูโวไลน์ที่มีอยู่กับ บจ. มาฆะเทรดดิ้ง ซึ่งการกู้ยืมเงิน ดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่ บจ. มาฆะเทรดดิ้งยังเป็นผู้ถือหุ้นของบจ. นูโวไลน์ มูลค่ารายการ: ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2552 มีรายการตามบัญชี ดังนี้ - รายการดอกเบี้ยจ่าย 5.2 ล้านบาท - รายการชำระคืนเงินกู้ยืม 21.96 ล้านบาท ความจำเป็นและสมเหตุสมผล : BTSC ได้พิจารณายอดหนี้ที่บจ. นูโวไลน์จะต้องชำระในอนาคตดังกล่าว ประกอบการกำหนดราคาเพื่อซื้อหุ้นของบจ. นูโวไลน์ (2) บุคคลที่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์: บจ. เคทีซี มีเดีย ลักษณะความสัมพันธ์ : นายกวิน กาญจนพาสน์ เป็นกรรมการของ บจ. เคทีซี มีเดีย ลักษณะรายการ: เงินมัดจำค่าซื้อรถของ วีจีไอ และเงินมัดจำค่าเช่ารถกับวีจีไอ และบจ. บีทีเอส แอสเส็ทท์ และค่าปรับปรุงสำนักงานค้างชำระของวีจีไอ มูลค่ารายการ: ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2552 มีรายการตามบัญชี ดังนี้ - รายการลูกหนี้ 0.4 ล้านบาท - รายการลูกหนี้อื่น 0.48 ล้านบาท - รายการเจ้าหนี้การค้า 0.11 ล้านบาท ความจำเป็นและสมเหตุสมผล : ยอดลูกหนี้ดังกล่าวมีจำนวนน้อย และคณะกรรมการตรวจสอบได้พิจารณา อนุมัติงบการเงินของ BTSC (3) บุคคลที่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์: บจ. เอ็กซ์-เทคโนโลยี ลักษณะความสัมพันธ์ : บจ. เอ็กซ์-เทคโนโลยี เป็นผู้ถือหุ้นเก่าของ บจ. พีโอวี มีเดีย ก่อนที่วีจีไอจะซื้อ บจ. พีโอวี มีเดีย ลักษณะรายการ: รายการที่เกิดขึ้นก่อนที่วีจีไอจะซื้อ บจ. พีโอวี มีเดีย มูลค่ารายการ: ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2552 มีรายการเจ้าหนี้การค้าเป็นจำนวน 1.39 ล้านบาท ความจำเป็นและสมเหตุสมผล : ยอดลูกหนี้ดังกล่าวมีจำนวนน้อย และคณะกรรมการตรวจสอบได้พิจารณา อนุมัติงบการเงินของ BTSC 14 นโยบายหรือแนวโน้มการทำรายการระหว่างกันในอนาคต บริษัทฯ อาจมีความจำเป็นในการทำรายการระหว่างกันกับบุคคลที่เกี่ยวโยงกันในอนาคต อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ จะ กำหนดเงื่อนไขต่างๆ ให้เป็นไปตามเงื่อนไขการค้าโดยทั่วไป และในราคาตลาด ซึ่งสามารถเปรียบเทียบได้กับราคา และเงื่อนไขที่ให้กับบุคคลภายนอก และจะปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ ไทยและกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ หากมีรายการระหว่างกันของบริษัทฯ หรือบริษัทย่อยเกิดขึ้นกับบุคคลที่อาจมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ มี ส่วนได้เสีย หรืออาจมีความขัดแย้งในลักษณะอื่น บริษัทฯ จะดำเนินการให้คณะกรรมการตรวจสอบเป็นผู้ให้ความเห็น เกี่ยวกับความจำเป็นและความเหมาะสมของรายการนั้นๆ ในกรณีที่คณะกรรมการตรวจสอบไม่มีความชำนาญในการ พิ จ รณารายการระหว่ งกั น ที่ อ จเกิ ด ขึ้ น บริ ษั ท ฯ จะให้ ผู้ เ ชี่ ย วชาญอิ ส ระหรื อ ผู้ ส อบบั ญ ชี ข องบริ ษั ท ฯ เป็ น ผู้ ใ ห้ ความเห็นเกี่ยวกับรายการระหว่างกันดังกล่าว เพื่อนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจของคณะกรรมการหรือผู้ถือหุ้นตามแต่ กรณี ทั้งนี้ บริษัทฯ จะเปิดเผยรายการระหว่างกันไว้ในหมายเหตุประกอบงบการเงินที่ได้รับการตรวจสอบจากผู้สอบ บัญชีของบริษัทฯ และรายงานประจำปีของบริษัทฯ ภาระผูกพัน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2552 บริษัทฯ มี ภาระผูกพันดังต่อไปนี้ 1. ภาระผูกพันเกี่ยวกับรายจ่ายฝ่ายทุน ก) บริษัทฯมีภาระผูกพันเกี่ยวกับสัญญาก่อสร้างโครงการบ้านเอื้ออาทรที่ได้ทำสัญญากับผู้รับเหมาไว้แล้ว เป็นจำนวนเงินประมาณ 976.9 ล้านบาท ข) บริษัทฯและบริษัทย่อยมีภาระผูกพันเกี่ยวกับสัญญาที่ปรึกษา ออกแบบและก่อสร้างโครงการเป็นจำนวน เงินประมาณ 907.7 ล้านบาท ค) บริษัทฯมีภาระผูกพันเกี่ยวกับสัญญาก่อสร้างโครงการกับบริษัทย่อยแห่งหนึ่งเป็นจำนวนเงินประมาณ 1,820.9 ล้านบาท ง) บริษัทย่อยมีภาระผูกพันเกี่ยวกับสัญญาที่ปรึกษาในการก่อสร้างโครงการกับบริษัทที่เกี่ยวข้องกันแห่ง หนึ่งเป็นจำนวนเงินไม่เกิน 3.9 ล้านเหรียญฮ่องกง 2. ภาระผูกพันเกี่ยวกับสัญญาเช่าดำเนินงาน ก) บริษัทฯได้ทำสัญญาเช่าที่ดินเป็นระยะเวลา 30 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2540 และ 1 ธันวาคม 2540 อัตราค่าเช่าเริ่มแรกคิดเป็นจำนวน 200,000 บาทต่อเดือนและ 500,000 บาทต่อเดือนตามลำดับ อัตราค่าเช่าจะเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี จนครบกำหนดอายุสัญญาเช่า ข) บริษัทย่อยมีภาระผูกพันเกี่ยวกับสัญญาเช่าที่ดินและอาคารเป็นระยะเวลา 21 ปี มูลค่ารวมเป็นจำนวนเงิน ประมาณ 5.8 ล้านบาท 3. ภาระผูกพันเกี่ยวกับสัญญาให้บริการ ก) เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2551 บริษัทฯได้ทำสัญญาจ้างบริการกับบริษัทร่วมแห่งหนึ่ง โดยบริษัทดังกล่าว จะให้บริการแก่บริษัทฯและบริษัทย่อยเกี่ยวกับการให้คำปรึกษาและบริหารงานเกี่ยวกับธุรกิจโรงแรม โดย ภายใต้เงื่อนไขตามสัญญา บริษัทฯจะต้องจ่ายค่าบริการเป็นจำนวนเงินประมาณ 1.4 ล้านบาท ต่อเดือน ซึ่งในระหว่างงวดสามเดือนและเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2552 บริษัทฯมีค่าบริการภายใต้สัญญา ดังกล่าวเป็นจำนวนเงินประมาณ 4.1 ล้านบาท และ 12.2 ล้านบาท ตามลำดับ ข) ในระหว่างปี 2551 บริษัทย่อยได้ทำสัญญาจ้างบริการกับบริษัทร่วมแห่งหนึ่ง โดยบริษัทดังกล่าวจะ ให้บริการแก่บริษัทย่อยเกี่ยวกับการให้สิทธิและบริหารจัดการเกี่ยวกับธุรกิจโรงแรม บริษัทย่อยต้องจ่าย ค่าบริการดังกล่าวตามอัตราที่ระบุไว้ในสัญญา ซึ่งในระหว่างงวดสามเดือนและเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2552 บริษัทย่อยมีค่าบริการภายใต้สัญญาดังกล่าวเป็นจำนวนเงินประมาณ 0.3 ล้านบาท และ 1.5 ล้านบาท ตามลำดับ 4. การค้ำประกัน ก) บริษัทฯค้ำประกันวงเงินสินเชื่อให้แก่บริษัทย่อยแห่งหนึ่งในวงเงิน 65 ล้านบาท ข) ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2552 มีหนังสือค้ำประกันที่ออกโดยธนาคารในนามบริษัทฯให้กับการเคหะแห่งชาติ เพื่อโครงการบ้านเอื้ออาทรเป็นจำนวนเงิน 201 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2552 BTSC มี ภาระผูกพันดังต่อไปนี้ 1. ภาระผูกพันเกี่ยวกับรายจ่ายฝ่ายทุน ก) ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2552 บริษัทฯมีภาระผูกพันเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงระบบอาณัติ สัญญาณการเดินรถเป็นจำนวนเงินประมาณ 243.2 ล้านบาท และ 1.9 ล้านเหรียญ ยูโร (31 มีนาคม 15 2552: 262.7 ล้านบาทและ 1.1 ล้านเหรียญยูโร) นอกจากนี้ บริษัทฯมีภาระผูกพันที่จะต้องจ่ายค่าที่ ปรึกษาที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงระบบอาณัติสัญญาณดังกล่าว ตามสัญญาที่ทำไว้กับบริษัทใน ต่างประเทศแห่งหนึ่งเป็นจำนวนเงินประมาณ 0.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (31 มีนาคม 2552: 1.6 ล้าน เหรียญสหรัฐฯ) ข) ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2552 บริษัทฯมีภาระผูกพันเกี่ยวข้องกับการซื้อและการขนส่งรถไฟฟ้าจำนวน 12 ขบวน เป็นจำนวนเงินประมาณ 42.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และ 26 ล้านบาท ตามลำดับ (31 มีนาคม 2552: 49.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และ 26 ล้านบาท) ค) ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2552 บริษัทฯมีภาระผูกพันเกี่ยวข้องกับการปรับปรุงระบบรับส่งสัญญาณคลื่นวิทยุ ซึ่งใช้สำหรับการเดินรถเป็นจำนวนเงินประมาณ 0.5 ล้านเหรียญยูโร และ 3.9 ล้านบาท (31 มีนาคม 2552: 1.4 ล้านเหรียญยูโร และ 6.1 ล้านบาท) ง) ณ วั นที่ 31 ธัน วาคม 2552 บริษั ท ฯมี ภ ระผู กพั นเกี่ ย วกับ การซื้ ออุ ป กรณ์ เครื่ องขายตั๋ ว อั ต โนมั ติ เป็ น จำนวนเงินประมาณ 0.5 ล้านเหรียญสิงคโปร์ (31 มีนาคม 2552: 0.7 ล้านเหรียญสิงคโปร์) จ) ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2552 บริษัทฯมีภาระผูกพันเกี่ยวกับการซื้ออุปกรณ์สำหรับใช้ในการเดินรถไฟฟ้าเป็น จำนวนเงินประมาณ 0.5 ล้านเหรียญยูโร และ 0.5 ล้านเหรียญสิงคโปร์ (31 มีนาคม 2552: 0.5 ล้าน เหรียญยูโร และ 0.5 ล้านเหรียญสิงคโปร์) และการปรับปรุงสถานีรถไฟฟ้าเป็นจำนวนเงินประมาณ 0.7 ล้านเหรียญยูโร (31 มีนาคม 2552: 0.7 ล้านเหรียญยูโร และ 10.1 ล้านบาท) ฉ) ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2552 บริษัทฯมีภาระผูกพันที่จะต้องจ่ายชำระค่าซื้อที่ดินให้กับเจ้าหนี้รายหนึ่ง ตาม สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินเป็นจำนวนเงินประมาณ 950 ล้านบาท ต่อมาเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2553 บริษัท ฯได้โอนสิทธิในการซื้อที่ดินดังกล่าวให้แก่บริษัทย่อยแห่งหนึ่ง ตามที่กล่าวไว้ในหมายเหตุประกอบงบ การเงินระหว่างกาลข้อ 22 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2552 บริษัทย่อยแห่งหนึ่ง (บริษัท ยูนิ โฮลดิ้ง จำกัด) มีภาระผูกพันที่จะต้องจ่าย ช) ชำ ระค่ ก่ อ สร้ งตามสั ญ ญาเหมารวมเบ็ ด เสร็ จ ให้ กั บ กิ จ การที่ เ กี่ ย วข้ อ งกั น แห่ ง หนึ่ ง เป็ น จำ นวนเงิ น ประมาณ 1,731.2 ล้านบาท และมีภาระผูกพันเกี่ยวข้องกับการก่อสร้างและพัฒนาโครงการอีกเป็นจำนวน เงินประมาณ 2.1 ล้านบาท ซ) ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2552 บริษัทย่อยแห่งหนึ่ง (บริษัท บางกอก สมาร์ทการ์ด ซิสเทม จำกัด) มีภาระ ผูกพันเกี่ยวข้องกับการพัฒนาระบบบัตรโดยสารร่วมเป็นจำนวนเงินประมาณ 3.5 ล้านเหรียญสิงคโปร์ และ 7 ล้านหยวน ฌ) ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2552 บริษัทย่อยแห่งหนึ่ง (บริษัท นูโว ไลน์ เอเจนซี่ จำกัด) มีภาระผูกพัน เกี่ยวข้องกับต้นทุนก่อสร้างและการออกแบบในโครงการอสังหาริมทรัพย์เป็นจำนวนเงินประมาณ 36.8 ล้านบาท 2. ภาระผูกพันภายใต้สัญญาซ่อมบำรุงฯ เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2547 บริษัทฯได้ทำสัญญาซ่อมบำรุงโครงการระบบขนส่งมวลชนเป็นระยะเวลาสิบปีทดแทน สัญญาเดิมที่หมดอายุลงกับผู้รับเหมาเดิมรายหนึ่ง ภายใต้สัญญาดังกล่าว บริษัทฯมีภาระผูกพันเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการ บำรุงรักษาและค่าธรรมเนียมการจัดหาอะไหล่ซ่อมบำรุงของโครงการฯตลอดระยะเวลา 10 ปี โดยค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นใน แต่ละปี จะคำนวณโดยนำมูลค่าของสัญญาฯในปีที่ 1 ปรับเพิ่มขึ้นโดยอิงตามดัชนีราคาผู้บริโภคของแต่ละปี โดยมูลค่า ของสัญญาฯในปีที่ 1 มีจำนวนเงินประมาณ 195.7 ล้านบาท และ 1.7 ล้านเหรียญยูโร ในระหว่างงวดสามเดือนและเก้า เดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2552 บริษัทฯมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและค่าธรรมเนียมการจัดหาอะไหล่ซ่อมบำรุง เป็นจำนวนเงินประมาณ 178.1 ล้านบาท และ 1.5 ล้านเหรียญยูโร (สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2552: 238.4 ล้าน บาท และ 2.1 ล้านเหรียญยูโร) 3. การค้ำประกัน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2552 บริษัทฯมีหนังสือค้ำประกันซึ่งออกโดยธนาคารในนามของบริษัทฯ ให้กับ ก) กรุงเทพมหานครจำนวนเงิน 37.5 ล้านบาท (31 มีนาคม 2552: 37.5 ล้านบาท) และให้กับการไฟฟ้า นครหลวง 28.2 ล้านบาท (31 มีนาคม 2552: 23.6 ล้านบาท) และอีกจำนวน 24.5 ล้านบาท ให้กับ บริ ษั ท ที่ ไ ม่ เกี่ ย วข้ อ งกัน แห่ ง หนึ่ ง หนั งสื อ คํ้ ประกั น ดั ง กล่ วเกี่ ย วเนื่ อ งกั บภาระผู ก พั น ทางปฏิ บัติ บ ง ประการภายใต้สัญญาสัมปทาน นอกจากนี้ บริษัทฯได้รับหนังสือค้ำประกันซึ่งออกโดยธนาคารในนาม ของบริษัทฯจำนวนเงิน 0.5 ล้านเหรียญยูโรและวงเงินเลตเตอร์ ออฟ เครดิต จากธนาคารพาณิชย์ใน ประเทศแห่งหนึ่งจำนวน 49.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อใช้ในการซื้อรถไฟฟ้าของบริษัทฯ โดยหนังสือค้ำ ประกั น และวงเงิ น สิ น เชื่ อ ที่ บ ริ ษั ท ฯได้ รั บ ดั ง กล่ วมี ห ลั ก ประกั น เป็ น เงิ น ฝากในสถาบั น การเงิ น จำ นวน 338.5 ล้านบาท (31 มีนาคม 2552: 338.5 ล้านบาท) ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2552 บริษัทย่อยแห่งหนึ่งมีหนังสือค้ำประกันซึ่งออกโดยธนาคารในนามของบริษัท ข) ย่อยดังกล่าวให้กับบริษัทฯจำนวนเงิน 78.6 ล้านบาท ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับภาระผูกพันทางปฏิบัติบางประการ 16 ตามปกติธุรกิจตามสัญญาสัมปทาน โดยหนังสือค้ำประกันที่บริษัทย่อยดังกล่าวได้รับมีหลักประกันเป็น บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ในสถาบันการเงินจำนวน 78.6 ล้านบาท 4. ภาระผูกพันภายใต้สัญญาระยะยาว ก) เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2551 บริษัทย่อยแห่งหนึ่ง (บริษัท ยูนิ โฮลดิ้ง จำกัด) ได้เข้าทำสัญญารับบริการ การจัดการบริหารโรงแรมและการใช้สิทธิกับบริษัทในต่างประเทศแห่งหนึ่งเป็นเวลา 15 ปี ทั้งนี้บริษัท ย่ อ ยดั ง กล่ วผู ก พั น ที่ จ ต้ อ งจ่ ยค่ ตอบแทนซึ่ ง คำ นวณเป็ น อั ต ราร้ อ ยละของยอดรายได้ จ กการ ดำเนินงานของโรงแรมและปฏิบัติตามเงื่อนไขต่างๆตามที่ระบุไว้ในสัญญา ในปัจจุบันโรงแรมดังกล่าวอยู่ ในระหว่างการก่อสร้าง ข) เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2552 บริษัทย่อยแห่งหนึ่ง (บริษัท ยูนิ โฮลดิ้ง จำกัด) ได้เข้าทำสัญญารับความ ช่วยเหลือทางเทคนิ คเกี่ ย วกับการก่อสร้ งโรงแรมกับบริษั ท ในต่า งประเทศแห่ ง หนึ่ ง ทั้ งนี้ บริ ษัท ย่อ ย ผูกพันที่จะจ่ายค่าตอบแทนเป็นจำนวนเงินประมาณ 0.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ค) เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2552 บริษัทย่อยแห่งหนึ่ง (บริษัท ยูนิ โฮลดิ้ง จำกัด) ได้เข้าทำสัญญารับบริการ การจัดการบริหารโรงแรมและการใช้สิทธิกับบริษัทในต่างประเทศแห่งหนึ่งเป็นเวลา 20 ปี และสามารถ ต่ออายุสัญญาได้อีก 10 ปี ทั้งนี้บริษัทย่อยผูกพันที่จะต้องจ่ายค่าตอบแทนซึ่งคำนวณเป็นอัตราร้อยละ ของยอดรายได้จากการดำเนินงานของโรงแรมและปฏิบัติตามเงื่อนไขต่างๆตามที่ระบุไว้ในสัญญา ใน ปัจจุบันโรงแรมดังกล่าวอยู่ในระหว่างการเตรียมการก่อสร้าง ง) เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2552 บริษัทย่อยแห่งหนึ่ง (บริษัท ยูนิ โฮลดิ้ง จำกัด) ได้เข้าทำสัญญารับคำ ปรึกษาเกี่ยวกับการดูแลและบริหารงานโรงแรมกับบริษัทที่เกี่ยวข้องกันแห่งหนึ่ง ทั้งนี้บริษัทย่อยผูกพันที่ จะจ่ายค่าตอบแทนเป็นจำนวนเงินประมาณ 8.1 ล้านบาท จ) ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2552 บริษัทย่อย (บริษัท ยูนิ โฮลดิ้ง จำกัด และ บริษัท บางกอก สมาร์ทการ์ด ซิส เทม จำกัด) มีภาระผูกพันตามสัญญาบริการที่จะต้องชำระเป็นจำนวนรวมประมาณ 7.1 ล้านบาท 5. ภาระผูกพันภายใต้สัญญาสัมปทาน ก) บริษัทฯได้ตกลงทำสัญญาให้สัมปทานการบริหารและจัดการให้เช่าพื้นที่โฆษณาบนสถานีและบนตัวถัง รถไฟฟ้าบีทีเอส และสิทธิให้เช่าพื้นที่ย่อยสำหรับร้านค้าบนสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ("สัมปทานการบริหาร และจัดการพื้นที่โฆษณาฯ") กับบริษัทย่อยแห่งหนึ่ง (บริษัท วี จี ไอ โกลบอล มีเดีย จำกัด) ตั้งแต่ปี 2542 สัมปทานมีอายุ 10 ปี และสามารถต่ออายุได้อีก 5 ปี ภายใต้สัญญาดังกล่าว บริษัทย่อยดังกล่าว จะต้ องจ่ ยชำ ระค่า สัม ปทานการบริ ห รและจั ด การให้ เช่ พื้น ที่ ดั งกล่ วนี้ใ ห้ แ ก่ บริ ษัท ฯตามอั ต ราและ เงื่อนไขที่กำหนดในสัญญา ต่อมาเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2552 บริษัทฯออกจดหมายยืนยันการต่ออายุสัญญาสัมปทานการบริหารและ จัดการให้เช่าพื้นที่โฆษณาฯให้กับบริษัทย่อยดังกล่าว เพื่อขยายเวลาออกไปอีกเป็นเวลา 5 ปี โดยที่ เงื่อนไขอื่นยังคงมีผลบังคับใช้ตามที่ระบุในสัญญาเดิม ข) เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2545 และวันที่ 20 เมษายน 2549 บริษัทฯได้ตกลงทำสัญญาให้สัมปทานการ ออกอากาศผ่านจอ Plasma และ LCD ตามลำดับ บนสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสให้แก่บริษัทย่อยแห่งหนึ่ง (บริ ษัท วี จี ไอ โกลบอล มี เ ดี ย จำ กั ด ) ภายใต้สั ญ ญาดั งกล่ วบริ ษัท ย่ อ ยจะต้ องจ่ ยชำ ระค่ ใช้ จ่ ย สำหรับการออกอากาศและแบ่งปันผลประโยชน์ตามสัดส่วนของรายได้จากการออกอากาศตามอัตราส่วน ตามที่ตกลงไว้ในสัญญาให้กับบริษัทฯ (ยังมีต่อ)